วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปัจจัย ตปท. หนุนหุ้นไทยปิดบวก 12.74 จุด ดัชนีแตะ 1,468 จุด


 ปัจจัยต่างประเทศหนุน หุ้นไทยปิดบวก 12.74 จุด ดัชนีแตะ 1,468 จุด นักวิเคราะห์ยังคงแนะนำให้เก็บหุ้นในกลุ่มที่เติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ ต่อเนื่อง

การเคลื่อนไหวของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประจำวันที่ 11 ก.ค. 59 ได้รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศหนุนให้ตลาดปิดบวก 12.74 จุด ดัชนีแตะ 1,468 จุด มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 59,587.31 ล้านบาท สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 4.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 5.บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)

คาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศต่อเนื่อง

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ยังคงต้องรอผลการเลือกตั้งในสภาสูงของญี่ปุ่นที่จะหนุนให้บรรยากาศการลงทุน ในตลาดหุ้นเอเชียดีขึ้น ต่อเนื่องจากคืนวันศุกร์ (8 ก.ค.) สหรัฐฯ มีการรายงานตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยส่งผลบวกมาถึงตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้

ขณะที่ประเด็นในเรื่อง ของ Brexit นั้นยังไม่มีการเพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุนในเวลานี้ เพราะตลาดรอดูผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษในวันพฤหัสฯ (14 ก.ค.) ว่าจะปรับนโยบายทางการเงินทั้งดอกเบี้ยและการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ หรือการทำ QE เพื่อรองรับผลของ Brexit ในอนาคต หลังไม่มีการปรับนโยบายทางการเงินนี้มานานหลายปี ดังนั้นปัจจัยในต่างประเทศ จึงให้น้ำหนักไปในทางที่เป็นบวก

ส่วนปัจจัยในประเทศ ตลาดยังรับปัจจัยเดิมๆ เพราะขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาในตลาด ดังนั้นในช่วงนี้หุ้นในกลุ่มที่เติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Play) และกลุ่มที่เป็นการลงทุนของทั้งภาครัฐกับเอกชนยังเป็นกลุ่มนำตลาดต่อไป ขณะที่การเก็งกำไรงบไตรมาส 2 นั้นจะเป็นการเก็งเป็นรายตัวไป รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลกลางปีด้วย

“กลยุทธ์การลงทุนใน สัปดาห์นี้มองว่าตลาดหุ้นอาจจะไม่เคลื่อนไหว ไม่ดีเหมือนสัปดาห์ก่อน จึงแนะให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัวหรือเลือกขายกำไรบางส่วนในหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก มองกรอบว่าดัชนีหุ้นในสัปดาห์นี้ที่ 1,468-1,485 จุด”

นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า กลยุทธ์การลงทุนของ บล. KTBST ยังให้น้ำหนักในตลาดหุ้น ญี่ปุ่น และเอเชียที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่อง Brexit ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น แต่หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากอาจมองว่าเป็นระดับราคาที่แพง โดยการลงทุนที่ยังแนะนำยังคงเป็นการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภท โครงสร้างพื้นฐาน หุ้นกู้ภาคเอกชน ส่วนทิศทางราคาทองคำมองว่าแนวโน้มยังคงไปได้ต่อ เพราะยังได้ปัจจัยจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ มองว่าราคาอาจไปถึงที่ระดับ 1,400 เหรียญฯ ได้.

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/661037

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น